เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๒ ก.ค. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว ตั้งใจฟังธรรมเนาะ เราแสวงหาสัจธรรม เราแสวงหาความจริง แสวงหาความจริงนะ โลกนี้เป็นโลกสมมุติ มันของชั่วคราว มันมีจริงของมัน มันจริงของมัน ว่าสมมุติๆ สมมุติตามความเป็นจริง มันจริงตามสมมุติ มันเป็นจริงตามสมมุติเพราะมันมีของมันอยู่อย่างนั้น แต่เราแสวงหาความจริง ความจริงเพื่อให้หัวใจได้พักได้ผ่อน ให้หัวใจได้เกาะไว้ ให้หัวใจได้เกาะสิ่งที่เป็นความจริง อย่าให้หัวใจไปเกาะสิ่งที่เหลวไหล

ถ้าสิ่งที่เหลวไหลนะ ความคิดความเห็นต่างๆ เป็นของที่เหลวไหล หัวใจไปเกาะสิ่งนั้น พอเกาะสิ่งนั้นมันพึ่งไม่ได้ มันพึ่งพาไม่ได้ไง จะความคิดดีขนาดไหนมันก็เป็นอนิจจัง สิ่งใดเราคิดร้าย คิดร้ายมีแต่ฟืนแต่ไฟเผาตัวเองทั้งนั้นแหละ เราอยากจะคิดที่ดีๆ เรามาทำบุญกุศลๆ ทำบุญกุศลเป็นอามิส อามิสคือบุญ บุญคือโอกาส โอกาสบางคนโอกาสมันจะมา โอกาสมันจะดี

โอกาส คือโอกาส นี่คือบุญ บุญและบาป ถ้าเราทำสิ่งใดแล้วมันไม่ประสบความสำเร็จ มันมีแต่ความขัดแย้ง มันมีแต่ความผิดพลาดอันนั้นเป็นบาป บุญและบาป ทำบุญกุศลได้อย่างนี้ ถ้าบุญกุศลทำเพื่อเหตุใด ทำบุญกุศลนะ ทำบุญกุศลมากน้อยขนาดไหน ถ้าเราจะพ้นจากทุกข์เราต้องมาประพฤติปฏิบัติ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา หัวใจของเราให้มันมีสัจจะความจริงขึ้นมาในหัวใจของเรา

เราเกิดมาเราอยากมีปัญญา ทุกคนอยากฉลาดมาก ฉลาดนะ ดูสิ ความคิดของเรา ความคิดมันผุดขึ้นมาตลอดเวลา ความคิดคนเราผุดออกมาจากหัวใจตลอดเวลาเลย แล้วเราก็อยากจะมีความคิดที่ดีๆ จะเป็นคนที่ฉลาด คนที่ฉลาด คนที่เขามีปัญญาของเขา เวลาเขาคิดงานของเขาออกมา ดูสิ สิ่งปลูกสร้างต่างๆ เขาสร้างออกมา โอ๋ย มันมหัศจรรย์ทั้งนั้นแหละ แล้วความคิดมันมาจากไหน ความคิดมันมาจากไหน ความคิดมันไปขุดออกมาจากไหนล่ะ

ความคิดมันต้องแบกหามนะ ปัญญาศึกษามาแล้วมีความรู้มากน้อยขนาดไหน มันไม่ต้องแบกต้องหาม แต่เวลาเป็นวัตถุสิ เป็นวัตถุมันต้องแบกต้องหาม ไปซื้อตู้เซฟไว้ใหญ่ๆ เอามาเก็บไว้ในตู้เซฟ แล้วให้ขโมยมันมายกตู้เซฟไปเลย นี่ไงแสวงหามาเก็บไว้ เก็บไว้สะสมไว้ๆ สะสมไว้แล้วเป็นภาระรุงรังไปหมด มันเป็นวัตถุ เวลาคนแสดงออกมา แสดงความคิดออกมาเพื่อเป็นงาน เขาแสดงออกมาเป็นความมหัศจรรย์ๆ นะ

นั่นเป็นความคิดของโลก แต่ถ้าความคิดที่ทำผิดพลาดขึ้นมามันเผาหัวใจ มันเผาลนๆ ที่เรามาทำบุญกุศลก็เพราะเหตุนี้ ทำบุญกุศลเพราะเหตุนี้เพราะอะไร ทำบุญกุศลเพื่อให้มันมีบารมี คำว่าบารมีคือจิตมันมีจุดยืน จิตมีจุดยืนมันจะไม่เชื่อฟังใครง่ายๆ มันจะไม่ให้มีใครชักนำมันไป ดูสิ เวลามีใครชักนำไปว่านู่นดี ดี เราไม่มีปัญญาเลย เวลาคนเขาโดนหลอกถามว่าไม่รู้หรือ รู้ เห็นเขาโดนหลอกเยอะแยะ ทำไมโดนหลอกล่ะ อ้าว ก็คิดว่าเขาหลอกคนอื่นไปแล้วเราจะไม่โดนหลอก มันไม่มีปัญญา

ถ้ามีปัญญานะ ถ้ามีปัญญาขึ้นมา สิ่งนี้มันเป็นความจริงไปไม่ได้ สิ่งใดที่ให้ผลตอบแทนที่เกินกว่าเหตุมันเป็นไปไม่ได้หรอกเราต้องทบทวนของเรา ถ้ามีปัญญาๆ ปัญญาทางโลกมันก็เป็นความมหัศจรรย์อยู่แล้ว ความมหัศจรรย์ ดูสิ เวลาคนมีปัญญาแสดงออกมา โอ้โฮ เขามีปัญญาของเขา ไอ้เราเวลามีปัญญาของเรา ปัญญามันมีแต่เผาลนของเรา เผาลนของเรา แล้วเวลามันคิดออกมามันคิดเป็นวัตถุ เวลาสร้างขึ้นมาเขาสร้างขึ้นมาเป็นวัตถุ แต่เวลาธรรมะเขาบอกว่าเราอยู่ในสังคมเราต้องมีหมู่มีคณะ

ไอ้คำว่ามีหมู่คณะ ถ้าเป็นเพื่อนที่ดี เพื่อนที่ดีเราก็ควรจะคบ ถ้าเพื่อนที่ไม่ดีเราไปคบเขาทำไม ถ้าเราไม่คบเขาเราจะคบใครล่ะ เราคบธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ามันเป็นเรื่องของธรรม สัจธรรมๆ เป็นความจริง ความจริงที่เราแสวงหากันอยู่นี้ ถ้าความจริงที่เราแสวงหาอยู่นะถ้าเกิดมีศีล ศีลคือความปกติของใจ ศีล สีละคือศิลา ศิลาที่มั่นคงในหัวใจของเรา ถ้ามั่นคงในหัวใจของเรานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้กี่องค์ไปข้างหน้าก็แล้วแต่ ศีล สมาธิ ปัญญาคือมรรค ๘ มันเป็นความจริงๆ อันหนึ่ง

สังคมจะตกต่ำขนาดไหน สังคมจะมีการเบียดเบียนกันขนาดไหน มีการทำร้ายกันขนาดไหน เพราะศีลธรรมมันอ่อนแอ พอศีลธรรมมันอ่อนแอ ครูบาอาจารย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา สังคมจะมีความเข้มแข็งขึ้นมา เวลาพูดถึงศีลเขามีน้ำใจต่อกัน คนที่มีน้ำใจต่อกัน คนที่ไม่เบียดเบียนกัน ศีลก็แขวนไว้ มันไม่มีความจำเป็นอะไรเลย ศีลก็คือศีล คือข้อห้ามไง แต่มันเกิดจากน้ำใจของคน

เรามาทำบุญกุศล ทำบุญกุศลก็เพราะเหตุนี้ไง เหตุที่ว่าให้จิตใจเรามีกำลังขึ้นมา ถ้ามีกำลังขึ้นมามันยอมรับไง มันเห็นว่าสิ่งนี้เป็นประโยชน์ สิ่งนี้มันเป็นคุณไง สิ่งที่มันเผาลนขึ้นมามันเป็นโทษทั้งนั้นแหละ สิ่งที่มันเผาลน สิ่งที่เราแสวงหา สิ่งที่เราพยายามจะไขว่คว้า มันมีแต่ฟืนแต่ไฟ เพราะอะไร เพราะมันไม่ปกติของใจ ถ้าใจมันปกติ ทำไมต้องปกติด้วยล่ะ มาทำบุญกุศลกันอยู่ก็เพื่อความมั่นคงของชีวิต เพื่อทำสิ่งใดประสบความสำเร็จทุกๆ เรื่อง ไม่ใช่มาจิตใจมั่นคง มั่นคงไปทุกเรื่อง

พันธุกรรมของจิตๆ คนที่สร้างสมบุญญาธิการมา เราเกิดมาจากพ่อแม่เดียวกันนะ เราเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่เหมือนกันนะ ความคิดเราไม่เหมือนกัน จังหวะและโอกาสทุกคนไม่เหมือนกัน เราเกิดจากท้องพ่อท้องแม่เดียวกันนะ เราเป็นพี่เป็นน้องกัน เกิดจากสายเลือดเดียวกัน แต่ความคิดความเห็นของเขาไม่เหมือนกัน จังหวะ โอกาสของเขาก็ไม่เหมือนกัน เพราะพันธุกรรมของจิตดวงนั้นมันสร้างมาแตกต่างกัน

จิตแต่ละดวงเวลาพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย เขาสร้างสมบุญญาธิการของเขา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะมาบวช องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวาของเรามาแล้วท่านรู้เลย เพราะเขาสร้างของเขามา เขาทำของเขามา

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา ภิกษุสงฆ์ติเตียนหมดเลย บอกทำไมไม่ตั้งพระอัญญาโกณฑัญญะ ทำไมไม่ตั้งปัญจวัคคีย์ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเทศนาปัญจวัคคีย์ก่อน ได้พระอรหันต์มา ๕ องค์นั้นก่อน ทำไมไปตั้งพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะล่ะ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเขาสร้างของเขามา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็สร้างของเขามา

จิตของเรา พันธุกรรมของจิต ความรู้สึกของเรามันก็เวียนว่ายตายเกิดเราก็สร้างของเรามา เวลาเราสร้างมาตั้งแต่อดีตชาติ สิ่งที่สะสมมาเราไม่รู้ แต่เรารู้รู้ปัจจุบัน เรารู้ที่เราเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ แล้วท้องพ่อท้องแม่แล้วทำสิ่งใดก็จะให้ประสบความสำเร็จๆ ประสบความสำเร็จ ถ้าเรามีบุญกุศลเราทำสิ่งใดมาสิ่งนั้นเกื้อกูล แต่ถ้ามีพรสวรรค์แต่เขาไม่แสวงหา เขาไม่ทำอะไรเขาไม่ประสบความสำเร็จอะไรหรอก เขาจะมีบุญกุศลขนาดไหนแต่เขาไม่ทำของเขามา เขาอยู่ในพันธุกรรมอันนั้นมันก็เพียงแต่เป็นบารมีของเขา แต่เขาไม่ได้ทำเป็นความจริงขึ้นมา

พระเราบวชมาแล้วถ้าประพฤติปฏิบัติ ถ้าไม่เดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนา ไม่เกิดมรรค เกิดผลในหัวใจขึ้นมาเป็นพระอรหันต์ไม่ได้ จะสร้างสมบุญญาธิการขนาดไหนก็เป็นไม่ได้ สร้างสมบุญญาธิการมามันเป็นโอกาส สร้างสมมาเป็นบาทฐานเท่านั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ เกิดที่ลุมพินี เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย เวลาออกบวช ๖ ปี สมบุกสมบันมา ทางโลกใครที่ทำทุกรกิริยาที่หนักหน่วงขนาดไหน ไม่มีใครทำเกินองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทำทุกรกิริยาได้ลึกกว่า ได้ลึกซึ้งกว่า ได้หนักหน่วงกว่ากับเจ้าลัทธิต่างๆ ทั้งหมด แล้วเขาทำของเขามาขนาดนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำขนาดนั้นแต่มันไม่ใช่ เวลาย้อนกลับมาๆ ถ้าไม่มีการประพฤติปฏิบัติมันเป็นไปไม่ได้ พันธุกรรมของจิตๆ ไง ถ้าพันธุกรรมของจิตเรา ดูสิ เวลามันเกิดมามันมีความรู้สึกนึกคิดอย่างนี้ แล้วถ้าความรู้สึกนึกคิดมันเข้ากับศีลไหม ศีลคือความปกติของใจ ศีลคือมีขอบรั้วของมันที่ไม่ให้เราคิดล่วงเกิน ไม่ให้เราคิดทำลาย ไม่ให้คิดทำลายตัวเอง ไม่ให้คิดต่างๆ

ศีล สีละๆ ถ้ามันไม่มีอำนาจวาสนา ไม่ได้ทำบุญกุศล มันไม่มีกำลังของจิตมันไม่รับหรอก มันไม่รับไม่ฟัง มันไม่ฟังหรอก ถ้ามันไม่ฟัง คนเหมือนกัน คนเหมือนคน แต่คนไม่เหมือนกัน นั่นไงคนเหมือนคนสิทธิเสรีภาพเท่ากันหมด เกิดเป็นมนุษย์เหมือนกันหมด มีปากกับท้องเหมือนกันหมด เสมอภาคกันด้วยธรรม มีปากและท้อง เสมอภาคกัน เราเป็นญาติกันโดยธรรมนะ

เกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน มีเลือดเนื้อเชื้อไขเหมือนกัน เราเหมือนกันหมดเลย แต่ความคิดไม่เหมือนกันสักคน พันธุกรรมๆ มันตัดแต่งมาไง ถ้ามันตัดแต่งมาเราพยายามสร้างของเรา ถ้าทำบุญกุศล ที่มาทำบุญกุศลเหตุนี้มันเป็นโอกาสนะ โอกาสที่ว่าถ้าเราเข้าไปสู่ผู้ทรงศีล เข้าไปสู่ครูบาอาจารย์ของเรา เรามีศรัทธาความเชื่อ ท่านเทศนาว่าการนะอย่าเชื่อว่าอาจารย์ของเรา อย่าเชื่อ เอาไปวิเคราะห์วิจัยมันจะเกิดปัญญาของเราขึ้นมา อย่าเชื่อนะ ถ้าใครฟังแล้วเชื่อคนนั้นไม่มีปัญญา

ฟังแล้วเอาไปวิเคราะห์เอาไปวิจัย ท่านพูดจริงหรือไม่จริง ท่านพูดจริงหรือเปล่า มันเป็นจริงไปได้ไหม ถ้ามันเป็นจริงไปได้ไหม ให้เชื่อตรงนั้น กาลามสูตรให้เชื่อประสบการณ์ของเรา ให้เชื่อความเป็นจริงขึ้นมา แล้วบอกว่าผู้ที่ไม่มีปัญญา เชื่อเขาๆ โดนเขาหลอกไปหมดเพราะไม่มีจุดยืนๆ แล้วเวลาเทศนาว่าการแล้วบอกไม่ให้เชื่อๆ ความเชื่อ มันเป็นศรัทธาความเชื่อ ความเชื่อนี้เป็นหัวรถจักรนะ หัวรถจักรดึงเรามาวัด ถ้าเราไม่มีศรัทธา ไม่มีความเชื่อเลยเราจะมาไหม ถ้าเรามาแล้ว สิ่งที่เรามาแล้วมาวัดใจของเรา

เขาไปวัดไปวา วัด ถ้าเขามีปัญญาของเขา เขาสร้างของเขา เขาสร้างเป็นวัตถุของเขา นั้นคือวัฒนธรรมประเพณี แต่ถ้าเขาคบธรรมๆ นะ คบศีล คบสมาธิ คบปัญญา คบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงตาท่านพูดบ่อย เคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เคารพศาสดาของเรา เคารพคำสั่งคำสอน เคารพกติกา แต่ถ้าเราล่วงเกิน ล่วงเกินหลวงตาท่านบอกว่าเหยียบหัวองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือธรรมวินัยไป แล้วแสดงธรรม

อวดแสดงธรรมแต่เหยียบหัวองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ มันแสดงธรรม ถ้าเราเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปวัดไปวาเราวัดของเรา ที่ไหนมันถูกใจ ที่ไหนมันลงใจ ที่ไหนมันพิจารณาแล้วมันใช่ ที่ไหนมันเป็นวัตถุ ที่ไหนมันเป็นมหรสพ ที่ไหนมันเป็นการอำนวยความสะดวก อำนวยความสะดวกเราไปโรงแรมก็ได้ เราจ่ายสตางค์แล้วเขาดูแลเราหมดเลย ไปสปายิ่งดีใหญ่ แต่เราไปวัดใจเรา เราไปวัดใจเรา สปาโรงแรมเขาเอาใจใช่ไหม แล้วเอาใจเรากิเลสมันฟูไหม

เขาเอาใจเพราะอะไร เพราะเขาต้องการค่าตอบแทน ค่าบริการ แต่ไปวัดไปวาเราแสวงหาของเราขึ้นมา เรามีข้อวัตร สติมันมาจากไหนล่ะ สติ สมาธิ ปัญญาเป็นของอาจารย์ ก็เป็นของอาจารย์ เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรามาวัดมาวากันก็เรามาแสวงหาสิ่งนี้ใช่ไหม เรามาแสวงหาศีล สมาธิ ปัญญาของเรา

ถ้าเรามาแสวงหาศีล สมาธิ ปัญญาของเรา เราต้องวัดใจของเรา ถ้าเราวัดใจของเราเราก็คุมใจเราสิ ใครจะมาบริการใคร การบริการเขาคิดค่าบริการนะ แต่ในเมื่อเป็นวัดใช่ไหม อาคันตุกวัตร อาจริยวัตร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดถึงคารวะ ๖ หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ เลิกประชุมให้เลิกประชุมพร้อมกัน ให้เคารพประธานสงฆ์นั้น ให้เคารพผู้ใหญ่ สังคมนั้นจะมั่นคง

นี่ก็เหมือนกัน เรามาวัดมาวาเราไม่ใช่มาสำมะเลเทเมา สติสัมปชัญญะเรามี ถ้าสติสัมปชัญญะ การเหยียด การคู้ การทำเราวัดหัวใจของเราสิ เราวัดความพอใจของเราสิ เราทำของเราขึ้นมาสิ ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ ก้าวขึ้นบันไดมันก็ไม่ลื่นล้ม ถ้ามันปากพร่ำๆๆ ก้าวขั้นบันไดมามันลื่นล้มหมดแหละ มาวัดมาล้มหน้าวัดให้เห็นประจำ ใครมาก็ลื่นพรืดๆ อยู่อย่างนั้นแหละ เพราะมันไม่มีสติไง มาวัดก็พรึ่บพรั่บ มาแล้วก็ทำของเขาไม่มีสติปัญญา

ถ้ามีสติปัญญา นี่ไงมาวัดมาวัดใจของเราไง แล้วสิ่งนี้เราทำขึ้นมาใครได้ ใครได้ หัวใจที่ทำนั้นได้ อยู่บ้านเราที่รโหฐาน เราทำสิ่งใดก็ได้เป็นสิทธิเสรีภาพ เราไปวัดเราเคารพผู้ทรงศีล สถานที่อยู่ของผู้ทรงศีล เราเคารพตรงนั้นแหละ มาวัดใจของเราแล้ว มีข้อวัตรหรือยัง มีวัดในใจหรือยัง ถ้ามีมันจะมีศีล ถ้ามีศีลขึ้นมา มีศีลคือความปกติของมัน แล้วคิดดูสิ ถ้าเรามีศรัทธาความเชื่ออย่างนี้ แล้วเราเข้าทางจงกรม นั่งสมาธิ เราด้วยสติปัญญาของเรามันเจริญขึ้นไหม ไอ้นี่อะไรก็ไม่รู้ คิดไปฟุ้งซ่านไปทั่ว แล้วบอกว่าภาวนา

ภาวนาอะไรของเอ็ง คนภาวนาปากพร่ำๆๆ อยู่อย่างนั้นหรือ คนภาวนามีแต่สุมหัวคุยกันทั้งวันอย่างนั้นหรือ คนภาวนาจะต้องมีคนมาคอยบริการอย่างนั้นหรือ มีคนบริการ ดูสิ เราจะทำสิ่งใดเป็นเรื่องส่วนตัวเรา เรายังไม่อยากให้มีใครเข้าใกล้เราเลย จิตของเราจะสงบขึ้นมา สติปัญญาเราพร้อมเราต้องการความสงบสงัดของเรา เราไม่ต้องการให้ใครเข้ามายุ่งกับเราเลย คนที่ปฏิบัติขึ้นมาเขารู้ของเขา เขารักษาตัวของเขา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้ธรรมที่โคนต้นโพธิ์ขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้น เรามาวัดมาวาเรามาทำเพื่อประโยชน์กับเรานะ ถ้าประโยชน์กับเรา เราต้องทำของเราให้เป็นความจริงขึ้นมา ไปวัดไปวาไปอย่างนี้ ถึงมาวัดมาฟังเทศน์ ฟังเทศน์นะหลวงพ่อ ไม่ใช่หลวงพ่อใส่อารมณ์อย่างนั้น เวลาธรรมถ้ามันเข้มข้น ธรรมมันรุนแรงมันมีรสชาติ เวลาธรรมที่มันจืดชืด ไอ้อย่างนั้นเวลาคนจิตใจที่มัน วุฒิภาวะของใจ โอ้โฮ ถ้าธรรมแล้วต้องเจริญพรๆ นะ เอาอกเอาใจกันอยู่อย่างนั้นแหละ

เอาอกเอาใจก็เอาอกกิเลสไง กิเลสของใครเข้ามาก็เคารพนบนอบมัน ส่งเสริมมัน บูชามัน เขาฆ่ามัน เขาจะฆ่ากิเลสไง ถ้าเขาฆ่ากิเลสนะมันต้องมีขอบมีเขต ถ้ามีขอบมีเขตศีล ถ้ามีศีลขึ้นมา ศีลมันมีขอบเขตของมันแล้ว สมาธิ สมาธิคือความสงบระงับ ใครมาก็แล้วแต่ จิตใจที่มีความสงบระงับในหัวใจ จิตใจทุกคนก็อยากจะอยู่สงบของเรา

ดูสิ เรากำลังสบายใจเราไม่อยากคุยกับใครเลย เรากำลังสบายใจเราไม่ต้องการให้ใครมาสะกิดเราเลย ใจของเรามันยังดีอยู่ เราอยากรักษาน้ำใจของเรา ให้ใจเรามันมีความสุขอยู่กับเรา เราไม่ต้องการให้ใครมาทักมาทาย ไม่ต้องการให้ใครมาเคารพนบนอบเราเลย เพราะอะไร เพราะไอ้ความสุขอันนี้ประเสริฐกว่าไง เราต้องละทิ้งความสุขอย่างนั้นแล้วก็มาสวัสดีค่ะ สวัสดีค่ะ มึงบ้าอะไร เขาสงบของเขามาก็พอแล้ว เรามาวัดมาวา

วัดคำว่าวัด วัดคือวัดใจของตัว ถ้าวัดใจของตัว สิ่งที่เราทำของเราเพื่อประโยชน์กับเรา ด้วยความสงบระงับ เขามาของเขาก็ให้มาของเขา ไอ้ของเราเราก็ดูแลตามกติกาของเรา สิ่งใดที่เขาผิดพลาดเราก็บอกเตือนเขาไป สิ่งที่เขาทำดีแล้วเชิดชู เพราะอะไร เพราะจิตใจของคนนะ จิตใจของคนมีสูงมีต่ำ จิตใจคนที่เขาสูงนะ จิตใจคนสูงเขาทำสิ่งใดเขามีสติสัมปชัญญะของเขาพร้อม เพียงแต่เขาไม่รู้ ไม่รู้เพราะว่าครูบาอาจารย์ของเราแตกต่างหลากหลายเขาก็เคยไปมา แล้วใครเคยไปที่ไหนมาเขาก็ถือนะ มาก็บอกมาจากบ้านตาด ใครมาก็บอกมาจากบ้านตาด

เมื่อก่อนมาจากบ้านตาดเราก็ศิโรราบเลยนะ เดี๋ยวนี้มาจากบ้านตาดไม่สนเลย เพราะมาจากบ้านตาดสมัยหลวงตาท่านอยู่อีกเรื่องหนึ่ง เวลาท่านมาสวนแสงธรรม คนที่ไปสนิทชิดเชื้อกับท่าน คุ้นเคยกับท่าน พอไปถึงบ้านตาดไปเดินตามท่านท่านใส่เลย พอท่านใส่ขึ้นมาคนก็บอกเลย เออหลวงตาองค์ที่สวนแสงธรรมกับองค์ที่บ้านตาดคนละองค์เนาะ องค์ที่สวนแสงธรรมท่านพูดกับเรานุ่มนวล ท่านพูดกับเราด้วยการคุ้นเคย องค์ที่อยู่บ้านตาดไม่ได้เลยนะ เดินตามก็ไม่ได้ สิ่งใดก็ไม่ได้ อยู่สวนแสงธรรมเวลาท่านเดินไปไหนเดินตามเป็นพรวนเลย ไปอยู่บ้านตาดพอท่านขยับไปไหนมาใส่เปรี้ยงเลย

นี่ไงมันอยู่ที่กาลเทศะไง อยู่ที่สวนแสงธรรมเขาไม่รู้ สวนแสงธรรมมันเป็นสังคมของโลกเขา พอไปบ้านตาด นี่วัดป่าบ้านตาด เป็นผู้ที่ทรงธรรม ทรงวินัยมาจากหลวงปู่มั่น เวลาอย่างนั้นท่านทำอย่างนั้น นี่พูดถึงหัวใจของคนไง เราจะเอาสมบัติ สมบัติของธรรม คบใคร คบธรรม คบธรรมคือสัจธรรม คือความจริง ดูสิ ศีล สมาธิ ปัญญา พระศรีอาริยเมตไตรยก็มาตรัสรู้สิ่งนี้ ในปัจจุบันนี้เราก็แสวงหาสิ่งนี้ แล้วสิ่งนี้มันจะเกิดขึ้นได้มันต้องหัวใจของเราเห็นคุณค่าของมันนะ

ถ้าหัวใจเห็นคุณค่าของมัน ดูหลวงตาสิ ดูครูบาอาจารย์ของเราสิ ศีล สมาธิ ปัญญาท่านรักษาสงวนยิ่งกว่าชีวิตนะ ไอ้ของเราสำมะเลเทเมา เวลามาวัดมาวากันเหมือนคนเมา ธรรมเมาไม่ใช่ธรรมะ ถ้าธรรมะ ธรรมะต้องสัจจะความจริง นี่ไงเราดูแลหัวใจของเราแล้วคัดเลือก อารมณ์ที่คิดอยู่มันเมาหรือธรรม อารมณ์ที่ความเป็นอยู่ ที่เราจะปฏิบัติมันเป็นธรรมะหรือเป็นธรรมเมา ถ้าเป็นธรรมะเราคบธรรม คบธรรม ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีเพื่อน ไม่ต้องห่วงเลยจะไม่มีผู้ที่มาเป็นหมู่เป็นคณะ ไม่ต้องห่วง

คบธรรมๆ สัจธรรมนะ กลิ่นของศีลหอมทวนลม กลิ่นของศีล กลิ่นของธรรม แต่ แต่ทางโลกกระแสสังคมมันรุนแรง กระแสของโลกรุนแรง เราจะให้เขานับหน้าถือตา ทำไมต้องให้เขานับหน้าถือตา ทำไม ทำไม ทำไมใจตัวเองเคารพตัวเองไม่ได้ใช่ไหม ในเมื่อสัจธรรมเป็นสัจธรรม เวลาปฏิบัติไปถ้าเป็นสมาธิมันจะรู้ว่าเป็นสมาธิทันทีเลย ถ้ามันไม่รู้ว่าเป็นสมาธิมันก็ไม่เป็นสมาธิ แล้วเกิดปัญญาขึ้นมา

ดูสิ ว่ามีปัญญาๆ กันมหาศาล ปัญญาที่เขาคิดกันปัญญาโลกๆ ทั้งนั้นแหละ คิดออกมามหัศจรรย์มาก ขนาดมหัศจรรย์อย่างนั้นยังแก้กิเลสไม่ได้ ไอน์สไตน์แก้กิเลสไม่ได้ ไอน์สไตน์บอกถ้ามีโอกาสจะนับถือศาสนาพุทธ แล้วเขาก็ทำไม่เป็น เพราะอะไร เพราะมันไม่มีครูบาอาจารย์สอนเขา ถ้ามีครูบาอาจารย์สอนเขาเขาต้องทวนกระแสกลับหมดเลย ไอน์สไตน์ส่งออก สัจธรรมจะสวนกลับ สวนกลับไปที่ภวาสวะ ไอน์สไตน์ต้องการความรอบรู้ในจักรวาล แต่ธรรมะต้องการรอบรู้ในภวาสวะ ในภพ ในปฏิสนธิจิต ในสิ่งที่เวียนว่ายตายเกิด ในสิ่งที่ภวาสวะที่สัจธรรมอันนี้ไง

สัจธรรม เราค้นคว้ากัน โยมมาวัดโยมก็เอาใจของโยมมาด้วย เพราะมีใจอยู่มันถึงมีชีวิต เวลามีชีวิตอยู่ มาวัดก็เอาใจมาด้วย แต่หาใจของตัวไม่เจอ ส่งออกหมด เวลาฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ไง บุญกุศลเป็นบุญกุศลนะ แต่ถ้าเราปฏิบัติขึ้นมา เกิดสัจธรรมขึ้นมาเราจะมีคุณค่า เราจะเห็นธรรม เราจะคบธรรมๆ คบที่ไหน คบธรรมก็คบตู้พระไตรปิฎก ไปไหนก็แบกไปด้วย แต่คบธรรมๆ คบศีล สมาธิ ปัญญา จิตเรามีสติ เรามีสมาธิแล้วมีปัญญาขึ้นมา นี้เป็นสัจธรรม แล้วถ้าเป็นอกุปปธรรม โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี พระอรหันต์ขึ้นมา นั่นล่ะธรรมแท้ๆ วิหารธรรม วิมุตติสุข ธรรมแท้ๆ อยู่ที่กลางหัวใจนี้ เอวัง